เมื่อตะวันตกดิน ดวงจันทร์จะเปล่งประกายขึ้นบนท้องฟ้าที่มืดมิด นอกจากดวงอาทิตย์ ก็ไม่มีดาวไหนสว่างกว่าแสงของดวงจันทร์ ถ้าโลกเราไม่มีดวงจันทร์ ล่ะจะเป็นอย่างไร หลายคนคงตอบว่าก็คงมองไม่เห็นในตอนกลางคืนใช่ไหม แน่นอนว่ามันจริง แต่ว่ามันไม่ใช่ทำให้เรามองไม่เห็นในตอนกลางอย่างเดียวนี่สิ มันยังมีหายนะอย่างอื่นที่ทำให้โลกเราสั่นคลอนแน่ๆ แล้วเราจะอยู่ได้ไหมถ้าขาดดวงจันทร์ไป งั้นมาดูกันเลย

1.ระดับน้ำทะเลจะเปลี่ยนไป
เมื่อไม่มีแรงดึงดูดจากดวงจันทร์ ใจกลางโลกจะอ่อนกำลังลง ทำให้น้ำทะเลที่กระจุกกันอยู่ระสูงใกล้บริเวณเส้นศูนย์สูตรจะกระจัดกระจายไปยังขั้วโลก มันก็หมายความว่าระดับน้ำทะเลจะเปลี่ยนไป ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เราคาดเดาไม่ได้เลย

2.การสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำจะเปลี่ยนไป
มันจะทำให้การสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำหลายชนิด ที่อาศัยแสงดวงจันทร์มากระทบผิวน้ำต้องเปลี่ยนไป จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สัตว์มีชีวิตหลายชนิดที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพวกมันต่อโลกที่ไม่มีดวงจันทร์ ตัวอย่างเช่น ปลากรูเนียน ที่จะวางไข่หลังจากพระจันทร์เต็มดวงเพียง 2-3 วันเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า พฤติกรรมเหล่านี้เชื่อมโยงกับดวงจันทร์อย่างชัดเจนแมงดา หอย และมีผลต่อสัตว์ทะเลบางกลุ่มใน deep scattering layer โดยมันจะเคลื่อนตัวไปมาระหว่าง layer ต่าง ๆ ในทะเล ตามสภาพแสงจากดวงจันทร์ และหากโลกไม่มีดวงจันทร์ คือหายไปเลยแบบฉับพลัน ก็จะเกิดความปั่นป่วนของน้ำ โดยน้ำในมหาสมุทรจะไหลกลับตามโมเมนตัมการหมุนของโลก อาจร้ายแรงเป็นสีนามิได้
3.โลกจะหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม
ถ้าอยู่ๆดวงจันทร์หายไป โลกจะขาด ความเสียดทานไทดัล ทำให้โลกของเราหมุนเร็วขึ้น แต่ไม่ได้มากเท่าไหร่นัก อาจส่งผลแค่ ความยาวของวันเวลา จะเพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่มิลลิวินาทีต่อปีเท่านั้น
4.โลกอาจจะแกว่งอย่างรุนแรง
แรงดึงดูดของดวงจันทร์มีผลต่อโลกอย่างมาก มันทำหน้าที่เป็นเสมือนสมอเรือที่ถ่วงแกนโลกให้เอียงอยู่ในระดับ 23.5 องศา ถ้าไม่มีดวงจันทร์โลกจะเกิดการแกว่งตัวครั้งใหญ่ ส่งผลให้ฤดูกาลบนโลกเราสเปะสปะไปหมด สิ่งมีชีวิตจำนวนมากไม่อาจอยู่รอดได้เลย
5.ท้องฟ้าในตอนกลางคืนจะมืดสนิท
เราสามารถมองเห็นในตอนกลางคืนได้เพราะโลกได้รับอิทธิพลของแสงจันทร์ ถ้าเกิดไม่มีดวงจันทร์ขึ้นมา ท้องฟ้ายามกลางคืนจะมืดสนิทจนเรามองไม่เห็นอะไรเลย

เรื่องจริงของดวงจันทร์
- ดวงจันทร์มีระยะห่างจากโลกประมาณ 384,400 กิโลเมตร หรือเท่ากับนำโลกมาเรียงต่อกัน 30 ใบ ก็จะได้ระยะทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์
- เมื่อดวงจันทร์ขึ้นเต็มดวงในแต่ละครั้งจะมีขนาดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับดวงจันทร์นั้นโคจรอยู่ใกล้หรือไกลจากโลกของเรามากน้อยแค่ไหน โดยทั่วไปดวงจันทร์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์ เมื่ออยู่โคตรใกล้กับโลกมากที่สุด
- แกนกลางของดวงจันทร์มีมวล 2-4% ของมวลทั้งหมดของมัน ขณะที่แกนกลางของโลกมีมวลประมาณ 30% ของมวลทั้งหมดของโลก
- ล่าสุดปี 2019 จีนได้เป็นชาติแรกที่ส่งยานไปลงสำรวจด้านไกลของดวงจันทร์ได้สำเร็จ ซึ่งน่าทึ่งมาก หลังจากนี้เรามาแวะพักเล่นเกมสล็อตให้ได้เงินต้อง Game Of Thrones Slotก่อนสักหน่อยก่อนจะอ่านต่อ
- ดวงจันทร์ไม่ได้มีลักษณะเป็นทรงกลมอย่างที่เราเห็นกันจากโลก แต่มันมีลักษณะคล้ายกับรูปทรงของไข่
- เนื่องจากดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศไว้กรองรังสีหรือความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดังนั้น ช่วงของอุณหภูมิที่ต่ำที่สุดและช่วงอุณหภูมิที่สูงที่สุด จึงแตกต่างกันมาก โดยบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ จะมีอุณหภูมิประมาณ 127 องศาเซลเซียส และบริเวณที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์ จะมีอุณหภูมิ -173 องศาเซลเซียส
- เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์มีขนาด 3,475 กิโลเมตร ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกถึง 4 เท่า
- ดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ถึง 400 เท่า แต่มันก็ใกล้กับโลกมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 400 เท่าเช่นกัน ดังนั้น เมื่อมองจากโลกแล้ว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จึงดูเหมือนจะมีขนาดเท่ากัน
- โลกหมุนด้วยความเร็ว 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 1,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ขณะที่ดวงจันทร์หมุนด้วยความเร็วเพียง 10 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 16 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เท่านั้น
- เราจะมองเห็นดวงจันทร์ดาวเดียวเสมอ เป็นเพราะว่าดวงจันทร์หมุนรอบแกนของตัวเองไปพร้อมๆกับโคตรรอบโลก จึงทำให้เราไม่สามารถเห็นด้านไกลของดวงจันทร์ได้เลย แล้วทำไมเราไม่สำรวจด้านไกลของดวงจันทร์เอง มนุษย์กลุ่มแรกที่เห็นดวงจันทร์ด้านไกลด้วยสายตาตัวเองก็คือผู้ที่เดินทางไปกับภารกิจ Apollo 8 ซึ่งเป็นการทดสอบความพร้อมให้กับโครงการ Apollo ในการส่งนักบินไปลงจอดบนดวงจันทร์จริง ๆ Frank Borman, James Lovell และ William Anders ได้ถ่ายภาพหนึ่งที่โด่งดังมากนั่นก็คือภาพ Earthrise หรือ “โลกกำลังขึ้น” จากขอบฟ้าของดวงจันทร์ ที่เราจะไม่ใส่มาเพราะหาดูง่ายแล้ว แต่พวกเขาก็ได้ถ่ายภาพด้านไกลของดวงจันทร์กลับมาด้วยจำนวนหนึ่งในขณะที่พวกเขาโคจรอ้อมไปด้านหลังก่อนเดินทางกลับมายังโลก ในภารกิจ Apollo 11 และภารกิจหลังจากนั้นจนถึง Apollo 17 ไม่มีนักบินอวกาศคนไหนเคยย่างเท้าลงไปในดินแดนฝั่งไกลของดวงจันทร์มาก่อน เหมือนกับคำเรียกอีกคำนึงของด้านไกลของดวงจันทร์ว่า Dark Side of the Moon เหตุผลก็คือ เมื่อเราอยู่ในด้านไกลของดวงจันทร์ เราจะไม่สามารถส่งสัญญากลับมายังโลกได้
- ในแต่ละปีดวงจันทร์จะเคลื่อนตัวออกห่างจากโลกประมาณ 3.48 เซนติเมตรทุกปี ส่งผลให้โลกมีจำนวนชั่วโมง ในหนึ่งวันยาวนานขึ้น เป็นผลจากการที่ดวงจันทร์ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไปจากโลกปีละ 3.82 เซนติเมตร ทำให้โลกหมุนช้าลงและมีช่วงเวลา 1 วันยาวนานขึ้นโดยเฉลี่ย 1/75,000 วินาทีต่อปี แต่ไม่ต้องตกใจว่ามันจะไม่ได้เห็นดวงจันทร์อีกเพราะมันช่างน้อยมากๆ อีกสิบล้านปีก็ยังไม่มีผลต่อโลกเลย
- ถ้าดวงจันทร์เริ่มสัมผัสเงามืดของโลกครั้งที่ 1 หรือเมื่อดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด จะเกิด จันทรุปราคาบางส่วน (Partial lunar eclipse) ดวงจันทร์จะเว้าแหว่งและลดความสว่างลง
- ถ้าดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปอยู่ในเงามืดของโลกหมดทั้งดวง จะเกิด จันทรุปราคาเต็มดวง (Total lunar eclipse) ดวงจันทร์จะมืดลงมากแต่ไม่ดำสนิท บางครั้งจะเห็นดวงจันทร์เป็นสีแดง หรือที่เรียกว่า “พระจันทร์สีเลือด”
- ถ้าดวงจันทร์เข้าไปอยู่ในเงามัวของโลก ก็จะเกิด จันทรุปราคาเงามัว (Penumbral eclipse) ดวงจันทร์จะลดความสว่างลงเล็กน้อย คล้ายมีเมฆบางๆ มาบังดวงจันทร์ซึ่งสังเกตได้ยากมาก
ก็ขอจบเรื่องราวของดวงจันทร์ไว้เพียงเท่านี้ก่อน แต่สรุปเลยก็คือ ดวงจันทร์มันสำคัญต่อโลกของเราเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่โลกอย่างเดียว ยังรวมถึงมนุษย์และสัตว์ต่างๆที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ เพราะดวงจันทร์สำคัญขนาดนี้เราต้องรักมันมากๆนะ ญาญ่า อุรัสยา ก็ชอบดวงจันทร์เหมือนกันเลยล่ะ